กฎหมาย Update ! รบ.เพื่อไทยลงทุนโครงสร้างบล็อกเชน สำหรับแจกเงินดิจิทัลให้ปชช.

หลังจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะในสนามแข่งการเลือกตั้งพรรครัฐบาล หนึ่งในนโยบายที่พรรเพื่อไทยกำลังมุ่งหน้าดำเนินการคือโครงการการแจก “เงินดิจิทัล 10,000 บาท” ภายใต้งบประมาณรวม 5.3 แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษกิจประเทศไทยให้คึกคักยิ่งขึ้น ดังนั้นวันนี้มาทำความรู้จักเงินดิจิทัลและบล็อกเชนเพิ่มเติมกัน

 

Blockchain คืออะไร?

บล็อกเชน (Blockchain) คือ เทคโนโลยีที่ใช้สำหรับการจัดเก็บข้อมูลและธุรกรรมในรูปแบบของบล็อกที่เชื่อมต่อกันเป็นเซตหรือรายการที่ไม่สามารถแก้ไขได้ (immutable) โดยอิงหลักการของคริปโตกราฟี (cryptography) และการกระจายข้อมูล (decentralization) ทำให้ข้อมูลและธุรกรรมบนบล็อกเชนมีความปลอดภัยและความคงทนต่อการแก้ไขได้ยาก ส่วนในบล็อกเชนที่สำคัญที่สุดคือบล็อกเชนของคริปโตสกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrencies) เช่นบิตคอยน์ (Bitcoin) และอีเธอเรียม (Ethereum) เป็นต้น

 

สกุลเงินดิจิทัล คืออะไร?

เงินดิจิทัล (Digital Currency) คือ รูปแบบของสกุลเงินที่ถูกสร้างและจัดเก็บในรูปแบบดิจิทัลหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่มีรูปร่างเงินหรือสกุลเงินกระดาษแบบดั้งเดิม ธุรกรรมทางการเงินที่ใช้เงินดิจิทัลจะทำได้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและใช้เทคโนโลยีเข้ารหัส (cryptography) เพื่อความปลอดภัยในการทำธุรกรรมและความรับรองความถูกต้องของธุรกรรม

 

  • สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrencies): เช่นบิตคอยน์ (Bitcoin), อีเธอเรียม (Ethereum), ริปเปิล (Ripple), และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ ที่ถูกสร้างโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (blockchain technology) เพื่อการจดทะเบียนและความถูกต้องของธุรกรรม
  • เงินดิจิทัลเฉพาะองค์กร (Digital Currencies by Central Banks): หลายประเทศแสดงความสนใจในการสร้างสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกดำเนินการโดยธนาคารกลาง เป็นตัวแทนของเงินสกุลปกติ ซึ่งจะช่วยลดความขึ้นตรงร่องเงินสกุลปกติและเพิ่มความปลอดภัยในระบบการชำระเงิน
  • เงินดิจิทัลที่อาจารย์บาดามหน่วย (Stablecoins): เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีค่าเทียบเท่ากับสกุลเงินที่มีค่ามาตรฐาน เช่นเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (USD) หรือ เหรียญยูโร (EUR) เพื่อลดความผันผวนในราคาของสกุลเงินดิจิทัล

 

ซึ่งรัฐบาลเพื่อไทยอาจจะมองว่า บล็อกเลนที่เป็นระบบโครงข่ายในการเก็บบัญชีธุรกรรมออนไลน์นั้นจะมีการพัฒนาการทำงานขึ้นในอนาคต รวมทั้งสามารถทำธุรกกรมได้โดยไม่มีตัวกลางอย่างสถาบันการเงิน ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการเสียค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมแล้ว ยังช่วยทำให้ข้อมูลที่ได้มีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยจากการโดนโจรกรรมอีกด้วย อีกทั้งยังสามารถประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีอื่น ๆ อาทิเช่น เทคโนโลยีทางการแพทย์ เป็นต้น แต่ความคืบหน้าของโครงการนี้อาจจะต้องติดตามผลกันต่อไปว่าจะมีคำตอบไปในทิศทางใด

 

หากต้องการทราบข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับกฎหมาย หรือต้องการปรึกษาเกี่ยวกับกฎหมายสามารถติดต่อได้ที่ Line : @balanceniti และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารหรือสาระน่ารู้ต่าง ๆ ของเราได้ที่ Facebook : Balance Niti Law Firm

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *