กฎหมายชวนรู้! ระบบศาลของไทย รู้ไว้ไม่เสียหาย

 

แม้ในชีวิตประจำวันการไปศาลอาจจะไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เรื่องของกฎหมายนั้นไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าต้องเกี่ยวข้องในทุก ๆ การดำเนินชีวิต ดังนั้นการมีข้อมูลเกี่ยวกับระบบศาลของประเทศไทยไว้สักนิด อาจจะเป็นประโยชน์ทำให้เข้าใจหลักการทำงานของกฎหมายและศาลมากขึ้น เผื่อในอนาคตที่อาจจะต้องมีการดำเนินการฟ้องร้องหรือเกี่ยวข้องกับคดีความอื่น ๆ

 

ศาล แบ่งออกได้เป็น ๒ ระบบ

  • ระบบศาลเดี่ยว เป็นระบบที่ให้ศาลยุติธรรมมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาททุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่ง คดีอาญา คดีปกครอง หรือคดีประเภทอื่น ๆ ระบบนี้เป็นระบบที่ใช้กันมากที่สุด ประเทศที่ใช้ระบบนี้ ได้แก่ กลุ่มประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายจารีตประเพณี (Common Law) เช่น สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา
  • ระบบศาลคู่ เป็นระบบที่ให้ศาลยุติธรรมมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทเฉพาะคดีแพ่งและคดีอาญาเท่านั้น ส่วนคดีปกครองแยกให้ศาลปกครองเป็นศาลที่มีอำนาจในการวินิจฉัยคดีดังกล่าว ข้อพิจารณาของระบบศาลคู่ คือ การแยกระบบของผู้พิพากษาและการแยกองค์กรศาลปกครองออกจากระบบศาลยุติธรรม ประเทศที่ใช้ระบบศาลคู่ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร (Civil Law) เช่น ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน

 

ประเทศไทยนั้นใช้ “ระบบศาลคู่” โดยแบ่งศาลออกเป็น 4 ระบบ

1. ศาลยุติธรรม

ศาลที่มีอํานาจพิจารณาและพิพากษาคดีทั่วไปทั้งหลาย เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้ อยู่ในอํานาจของศาลอื่น ซึ่งนอกจากนั้นรัฐธรรมนูญยังกำหนดให้มีแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอยู่ในศาลฎีกาอีกด้วย เปรียบเสมือนช่องทางพิเศษสำหรับควบคุมดูแลนักการเมืองทั้งหลายไม่ให้กระทำความผิดอื่นใด

ศาลยุติธรรมมี 3 ชั้น คือ 

  • ศาลชั้นต้น
  • ศาลอุทธรณ์
  • ศาลฎีกา

 

2. ศาลทหาร

ศาลที่ใช้ตัดสินคดีของทหารซึ่งในประวัติศาสตร์ไทยมีศาลที่มีลักษณะของศาลทหารและการสงครามทั้งหลายมาแต่โบราณ เช่น กฎหมายลักษณะขบฎศึก จุลศักราช 796, ศาลกลาโหมอยู่ในสังกัดสมุหกลาโหมในสมัยรัชกาลที่ 1 เป็นต้น

พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 ระบุถึงบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารไว้ 8 ประเภท คือ

  1. นายทหารชั้นสัญญาบัตรประจำการ
  2. นายทหารชั้นสัญญาบัตรนอกประจำการ เฉพาะเมื่อกระทำผิดต่อคำสั่งหรือข้อบังคับตามประมวลกฎหมายอาญาทหาร
  3. นายทหารประทวนและพลทหารกองประจำการหรือประจำการ หรือบุคคลที่รับราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร
  4. นักเรียนทหารตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนด
  5. ทหารกองเกินที่ถูกเข้ากองประจำการ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารได้รับตัวไว้เพื่อให้เข้ารับราชการประจำอยู่ในหน่วยทหาร
  6. พลเรือนที่สังกัดอยู่ในราชการทหาร เมื่อกระทำผิดในหน้าที่ราชการทหารหรือกระทำผิดอย่างอื่นเฉพาะใน หรือบริเวณ อาคาร ที่ตั้งหน่วยทหาร ที่พักร้อน พักแรม เรือ อากาศยาน หรือยานพาหนะใด ๆ ในควบคุมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร
  7. บุคคลซึ่งต้องขังหรืออยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารโดยชอบด้วยกฎหมาย
  8. เชลยศึกหรือชนชาติศัตรูซึ่งอยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและจากมาตรา 6 

ศาลทหารแบ่งออกเป็น 3 ชั้น

  • ศาลทหารชั้นต้น
  • ศาลทหารกลาง
  • ศาลทหารสูงสุด

 

3. ศาลปกครอง

ศาลที่ก่อตั้งในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2540 ที่ผ่านมา ตามรัฐธรรมนูญ 2540 เพื่อตัดสิน “คดีปกครอง” ตามแบบอย่างที่ประเทศอื่น ๆ เช่น ฝรั่งเศส, สวีเดน, โปแลนด์, เยอรมนี เป็นต้น เพื่อทำหน้าที่พิจารณาและพิพากษาคดีปกครอง ซึ่งได้แก่ ข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ กับเอกชน รวมทั้งข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกัน

ศาลปกครองแบ่งออกเป็น 2 ชั้น คือ

  • ศาลปกครองชั้นต้น
  • ศาลปกครองสูงสุด

 

4. ศาลรัฐธรรมนูญ

ก่อตั้งในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2540 เช่นเดียวกับศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่หลัก คือ การพิจารณาทบทวนโดยศาล วินิจฉัยว่ากฎหมายใดขัดต่อรัฐธรรมนูญ พิจารณาการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย การยุบพรรคการเมือง และการตัดสินให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพ้นจากตำแหน่ง

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วย ประธานศาลรัฐธรรมนูญ 1 คน และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก 8 คน ซึ่งมีการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ โดยคำแนะนำของวุฒิสภาจากบุคคล ดังต่อไปนี้

  • ผู้พิพากษาของศาลฎีกา ซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกา โดยได้รับเลือกในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ด้วยวิธีลงคะแนนลับ ทั้งหมด 3 คน
  • ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ซึ่งได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด จากวิธีลงคะแนนลับ ทั้งหมด 2 คน
  • ผู้ทรงคุณวุฒิ สาขานิติศาสตร์ ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านนิติศาสตร์อย่างแท้จริง และได้รับเลือกตามมาตรา 206 ของรัฐธรรมนุญ ทั้งหมด 2 คน
  • ผู้ทรงคุณวุฒิ สาขารัฐศาสตร์ หรือสาขาสังคมศาสตร์อื่นๆ โดยมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการบริหารราชการแผ่นดินอย่างแท้จริง และได้รับเลือกตามมาตรา 206 ของรัฐธรรมนูญ ทั้งหมด 2 คน

ซึ่งการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญเป็นระบบไต่สวน ศาลมีอำนาจไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ ซึ่งแตกต่างจากวิธีพิจารณาที่ใช้ในคดีทั่วไปของศาลยุติธรรม

 

หวังว่ากฎหมายชวนรู้จะเป็นเกร็ดความรู้เล็ก ๆ ที่เป็นประโยชน์กับทุกคน หากต้องการปรึกษาเรื่องเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกฎหมาย และเกร็ดความรู้เรื่องกฏหมายสามารถติดต่อได้ที่ Line : @balanceniti และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารหรือสาระน่ารู้ต่าง ๆ ของเราได้ที่ Facebook : Balance Niti Law Firm

เครดิต: https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/elaw_parcy/ewt_dl_link.php?nid=2244 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *